ผ้าอ้อมสำเร็จรูปมีผลต่อการกลั้นฉี่ของลูกหรือไม่

ทางบ้านไม่อยากให้ลูกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเพราะเปลือง ทางครูก็กดดันมาว่าทำไมเด็กยังต้องใช้อีก คนอื่นๆ เขาเลิกใช้กันแล้ว หนูกลุ้มใจมากเลย เพราะพอไม่ใส่ก็ราด เด็กทุกคนบนโลกจะสามารถกลั้นฉี่และอึได้ก่อนอายุ 3 ขวบทุกคน หากเราไม่กดดันจนเกินไป ช่วงอายุ 2-3 ขวบเป็นช่วงวัยพัฒนาการที่เรียกว่าออโตโนมี่ (autonomty) เด็กจะพัฒนาความสามารถกลั้นฉี่และกลั้นอึได้เองโดยอัตโนมัติ  ไม่มีใครต้องสอน และที่จริงแล้วไม่มีใครจะมีปัญญาสอน เพราะกล้ามเนื้อกลั้นฉี่กลั้นอึนี้เป็นกล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของจิตใจ กล้ามเนื้อกลั้นฉี่กลั้นอึที่หูรูดกระเพาะปัสสาวะและที่หูรูดทวารหนักอยู่ที่ศูนย์กลางของร่างกายอยู่แล้ว จึงจะพัฒนาได้เองเป็นอย่างแรกๆ โดยที่ไม่ต้องมีใครบังคับ ที่เราพยายามสอนเด็กๆ คือสอนเรื่องกาลเทศะเสียมากกว่า กล่าวคือเมื่อปวดฉี่ให้ไปฉี่ตรงนั้น และเมื่อปวดอึให้ไปถ่ายตรงนั้น พ่อแม่ที่รู้งานจะพาลูกไปห้องน้ำตามเวลา ด้วยความสุข นั่งเป็นเพื่อน รอเวลาให้เขาถ่าย เขาไม่ถ่ายก็กลับออกมาด้วยความสุขเหมือนขาเข้า เราจึงเรียกว่าสุขา เข้าก็เป็นสุข ออกก็เป็นสุข เมื่อเด็กๆ เป็นสุขเขาจะทำได้เองโดยไม่มีใครสอน  เรียกว่าทำได้เองโดยอัตโนมัติ ในทางตรงข้าม หากเรากดดันเขามากไปในวันเวลาที่เขาไม่พร้อม เขาจะติดขัด พัฒนาไม่ไป เราเรียกว่า fixation การกลั้นฉี่อึนี้ก็จะยืดยาวออกไป และถ้าเรายังไม่เลิก ดุด่าว่าตีซ้ำเพียงเพราะเขากลั้นยังไม่ได้ เขาจะเริ่มถดถอย พัฒนาการถอยหลัง เราเรียกว่า regression ความสามารถที่จะกลั้นได้ก็จะยืดยาวออกไปอีก เรื่องการติดขัดและการถดถอยนี้เป็นได้กับพัฒนาการอื่นๆ ด้วย…

ลูกมีพัฒนาการช้ามีลักษณะอย่างไร

ทุกครั้งที่เห็นเด็กวัยเดียวกับลูกของเรา อดไม่ได้ที่จะลองสังเกตแล้วเปรียบเทียบกับลูกตัวเอง ที่จริงเรื่องของพัฒนาการของเด็กแต่ละคนไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพัฒนาการเด็กบอกอยู่บ่อย ๆ ว่า เรื่องพัฒนาการเติบโตของเด็กแต่ละคนไม่ใช่เรื่องของการแข่งขัน เกณฑ์มาตรฐานที่ใช้ตรวจสอบพัฒนาการก็เป็นเพียงเกณฑ์คร่าว ๆ เด็กแต่ละคนเกิดมาย่อมมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายหลาก จะช้าหรือเร็วกว่ากันบ้างไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด แค่ไหนที่เรียกว่า “พัฒนาการช้า” พ่อแม่ส่วนใหญ่จะเพ่งเล็งไปที่ความก้าวหน้าทางพัฒนาการ ที่เห็นได้ชัด อย่างเช่น เมื่อไหร่ลูกจะนั่ง จะคลาน ยืน เดินได้ แต่คุณหมอทางด้านพัฒนาการทั้งหลายจะไม่ดูแค่นี้ คุณหมอจะให้ความสำคัญกับการรับรู้ของเด็ก มากเสียยิ่งกว่าพัฒนาการทางร่างกาย คุณหมอจะดูว่าหนูจะยิ้มให้ผู้คนไหม มองตามสิ่งที่เคลื่อนไหวไหม หรือสนใจจดจำเสียงต่าง ๆ ได้บ้างไหม.. นี่แสดงว่าหนูรับรู้สิ่งแวดล้อมที่มากระทบ สามารถเชื่อมโยงสิ่งหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และมีปฏิสัมพันธ์ตอบสนองได้ แต่คุณพ่อคุณแม่กลับไปกังวล เมื่อเห็นลูกทำอะไรไม่ได้เหมือนคนอื่นเขา ไม่ก้าวหน้าอย่างที่ตารางพัฒนาการบอกไว้ ที่จริงเป็นเรื่องแสนจะธรรมดา ที่เด็กบางคนก้าวหน้าอย่างมากในบางเรื่องหรือล่าช้าในบางเรื่อง ไม่ได้เป็นสิ่งแสดงว่าหนูจะเป็นอัจฉริยะหรือฉลาดน้อยแต่อย่างใด ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยว่า ยิ่งเด็กก้าวหน้าอย่างมากในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ อาจจะทำให้การเรียนรู้เรื่องอื่นลดน้อยลงไปด้วยซ้ำ อย่างเช่น เด็กที่คลานเก่ง ๆ อาจจะเดินช้าเพราะเขาสามารถคลานไปไหน ๆ ได้คล่องดังใจโดยไม่ต้องใช้ความพยายามที่จะเดิน เด็กบางคนที่ไม่ยอมคลานสักทีแต่เผลอแผล็บเดียวเดินเลยก็มี เรื่องของพัฒนาการกว้างกว่าที่พ่อแม่ส่วนใหญ่รู้จักและเข้าใจ และช่วงเวลาในการก้าวข้ามพัฒนาการแต่ละอย่าง เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันไปในช่วงเวลาที่แตกต่างกันถึง 6 เดือนก็เป็นได้ อย่างเช่น พัฒนาการทางภาษา เด็กสามารถเลียนเสียงพูดได้…

กลวิธีปราบเด็กแสบ (ดื้อ,ซน,ก้าวร้าว)

โดย…ธิดา พิทักษ์สินสุข “ครูหวาน” ใครๆ ก็คงอยากได้ลูกที่ว่าง่าย น่ารัก น่าเอ็นดู กันทุกคน แต่เหตุไฉนลูกของเราจึงไม่ไดดั่งใจ ไม่ดื้อก็ซน ไม่ซนก็ก้าวร้าว อ่อนอกอ่อนใจจริงไม่รู้จะทำอย่างไร เห็นทีต้องปล่อยให้ครูเขาจัดการเสียแล้ว เรื่องราวคงไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะที่สุดคุณครูก็จะย้ำทุกครั้งไม่ว่าทางบ้านต้องช่วยปรับพฤติกรรมด้วย ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางสำเร็จ เพราะอย่างไรเสีย เราคงหลีกเลี่ยงความเป็นจริงไม่ได้ว่า พ่อแม่นั่นแหละเป็นผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อการปรับพฤติกรรมของลูก “เมื่อใดที่คุณเปลี่ยน ลูกจะเปลี่ยนตาม” สาเหตุและวิธีปราบเด็กดื้อ เด็กซน เด็กก้าวร้าว 1. ใส่ใจและเพิ่มปริมาณการชื่นชมพฤติกรรมที่ดี ลดการตำหนิติเตียน เด็กมีจุดอ่อนอยู่ 2 เรื่อง คือ ต้องการคนชม และต้องการคนสนใจ ถ้าเราสนใจและชมเขาในสิ่งดีที่เขาทำบ่อยๆ ให้มากเท่าที่ทำได้ ทุกครั้งที่ชมจะเป็นเครื่องยืนยันว่า หนูทำถูกต้องแล้ว ทำต่อไปนะแม้แต่เด็กที่ดื้อ ซน ก้าวร้าว พฤติกรรมก็จะดีขึ้นๆ จนกลายเป็นเด็กน่ารักในที่สุด   2. ใช้ท่าทีที่สงบสยบความดึงดัน ให้พ่อแม่เป็นคนยืนยันในสิ่งที่ต้องการ เด็กดื้อ คือ เด็กที่ยืนยันในสิ่งที่เขาต้องการ แล้วได้ตามต้องการ เด็กซน คือ เด็กที่ยืนยันว่าการเล่นสนุกนั้นทำได้เสมอในทุกที่  เด็กก้าวร้าว คือเด็กที่ยืนยันว่าการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงนั้นได้ผลเสมอ                 …

เด็กไม่ยอมใส่หน้ากากอนามัย ควรทำอย่างไร?

ปัญหาของเด็กๆ หรือวัยรุ่น ที่ไม่เคยใส่หน้ากากอนามัย และไม่ชอบมีอะไรมาปิดบังใบหน้า คงเป็นที่หนักใจคุณพ่อคุณแม่เป็นแน่ แต่จากสถานการณ์ในหลายเขตกรุงเทพมหานคร ที่มีค่าฝุ่นละออง PM 2.5 เกินมาตรฐาน ซึ่งเป็นปริมาณที่สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพหรือโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เด็กๆ จึงเป็นกลุ่มที่ควรได้รับปกป้องให้ได้รับฝุ่นมลภาวะน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นวันนี้ ทีนเอ็มไทยเลยขอรวบรวมวิธีที่จะทำให้เด็กๆ ยอมใส่หน้ากากอนามัยกัน เด็กไม่ยอมใส่หน้ากากอนามัย ควรทำอย่างไร? 1. กลัวหายใจไม่ออก หน้ากากแบบธรรมดา หากต้องการใส่เพื่อป้องกันฝุ่นละออง PM 2.5 จำเป็นต้องใส่สองชั้น และระหว่างชั้นควรมีกระดาษทิชชู่คั่นไว้ระหว่างกลางอีกด้วย ถึงจะมีประสิทธิภาพดี แต่ยิ่งทำให้เด็กๆ รู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ออกหนัก ดังนั้น ควรเลือกหน้ากากป้องกันฝุ่น PM 2.5 แบบมีวาล์ว จะช่วยระบายอากาศ ช่วยระบายความร้อนและความชื้นที่สะสมภายในหน้ากาก 2. เลือกลายหน้ากาก ควรเลือกหน้ากากที่มีสี ลวดลายการ์ตูนที่เด็กชอบ เพื่อดึงความสนใจให้เขาอยากใส่มากขึ้น หรือถ้ากลุ่มวัยรุ่น ก็ควรเลือกหน้ากากแบบ 3D ใส่สบาย ไม่เจ็บหูขณะใส่นานๆ แถมรับกับใบหน้าให้ดูหน้าเรียว เหมือนดาราศิลปินเกาหลี ก็ดูจะถูกใจวัยรุ่นอยู่ไม่น้อย 3. ไม่ชอบใส่เพราะหน้ากากเหม็น อีก 1 ปัญหากวนใจ นั้นก็คือ กลิ่นแปลกๆ…

ลูกของคุณเสี่ยงมีพฤติกรรมคล้ายออทิสติกหรือไม่

ปัจจุบันพบว่าเด็กวัยเตรียมอนุบาลและวัยอนุบาลเสี่ยงต่อการมีพฤติกรรมที่คล้ายออทิสติกมากขึ้น ซึ่งสาเหตุหลักๆ มาจากวิธีการเลี้ยงดู แต่พฤติกรรมที่คล้ายหรือเหมือนจะเป็นออทิสติกนี้สามารถป้องกันและแก้ไขได้หากคุณพ่อคุณแม่รู้เท่าทันและใส่ใจดูแลลูกแบบใกล้ชิด พฤติกรรมคล้ายออทิสติกคืออะไร พฤติกรรมคล้ายออทิสติกหรือในสื่อสังคมมักเรียกว่า “ออทิสติกเทียม” เป็นภาวะที่เด็กขาด “การกระตุ้น” ในการสื่อสารสองทาง จึงส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางการสื่อสารกับผู้อื่น เนื่องจากพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูขาดการมีปฏิสัมพันธ์กับลูก เช่น ไม่พูดคุย ไม่เล่นกับลูก เป็นต้น แต่ให้ลูกเล่นอุปกรณ์สื่อสารอย่างแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นการสื่อสารแบบ One-way Communication หรือการรับสารเพียงทางเดียว จึงส่งผลให้เด็กเกิดความผิดปกติด้านพัฒนาการทางสังคม ออทิสติก VS ออทิสติกเทียม โรคออทิสติกเกิดจากความผิดปกติของสมองเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ในขณะที่อาการออทิสติกเทียมจะเกิดจาก “ขาดการกระตุ้น” เป็นหลัก และถึงแม้ว่าทั้งสองอย่างจะมีลักษณะอาการคล้ายกัน แต่เด็กที่เป็นออทิสติกเทียมหากได้รับ “การกระตุ้น” ที่เหมาะสมถูกทางในระยะเวลาสั้น ๆ ก็จะสามารถกลับมาเป็นเด็กปกติได้ ในขณะที่เด็กออทิสติกยังคงมีพฤติกรรมที่ต่างจากเด็กปกติถึงแม้จะได้รับการฝึกกระตุ้นพัฒนาการแล้ว อย่างไรก็ตามเด็กที่เป็นออทิสติกหากได้รับการกระตุ้นพัฒนาการอย่างเหมาะสมก็สามารถมีพัฒนาการและพฤติกรรมที่ดีขึ้นได้อย่างมาก     เช็กลูกให้ชัวร์ระวังอาการออทิสติก อายุ อาการ 6 เดือน  ไม่ยิ้มหรือไม่แสดงอารมณ์สนุกสนาน 9 เดือน  ไม่มีการส่งเสียง ยิ้ม แสดงสีหน้า โต้ตอบกลับไปมา 12 เดือน  ไม่หันหาเสียงเรียกชื่อ ไม่เล่นน้ำลาย 18…

5 วิธีในการถ่ายภาพลูกของคุณจากมุมมองของพ่อแม่มือใหม่

5 วิธีในการถ่ายภาพลูกของคุณจากมุมมองของพ่อแม่มือใหม่ การใช้บริการการถ่ายภาพของตากล้องมืออาชีพนั้นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูงเช่นกัน ในขณะที่การถ่ายภาพลูกของคุณอาจทำให้เสียค่าใช้จ่ายเป็นร้อยดอลลาร์นั้น การถ่ายภาพลูกของคุณด้วยตัวคุณเองจะไม่ทำให้คุณต้องเสียค่าใช้จ่ายเหล่านั้น สำหรับการเรียนรู้วิธีถ่ายภาพลูกน้อยของคุณจากมุมมองของพ่อแม่มือใหม่นั้น มีขั้นตอนง่ายๆ 5 ขั้นตอนดังต่อไปนี้ เลนส์ EOS M100, EF-M22 มม. f/ 2 STM, f/ 2.8, 22 มม., 1/125 วินาที, ISO800 1. ภาพถ่ายของพ่อแม่และเด็กเล็กเทียบกับนิ้วมือ เลนส์ EOS M100, EF-M22 มม. f/ 2 STM, f / 2.8, 22มม., 1 / 60 วินาที, ISO800 คิดวิธีการแบบสร้างสรรค์ในการถ่ายภาพพ่อแม่และเด็ก วิธีหนึ่งคือการถ่ายภาพเด็กโดยการเปรียบเทียบนิ้วมือของพ่อแม่ มันจะทำให้เกิดความทรงจำที่สำคัญว่า ครั้งหนึ่งลูกของคนเคยตัวเล็กขนาดนี้ (ก่อนที่พวกเขาจะเติบโตอย่างรวดเร็ว) คุณยังสามารถพิมพ์ภาพถ่ายของคุณออกมา โดยใช้เครื่องพิมพ์ SELPHY และนำไปจัดวางไว้เป็นส่วนหนึ่งในการตกแต่งบ้านของคุณ 2.  สัมผัสแห่งรัก เลนส์ EOS M100, EF-M22 มม. f/ 2 STM, f/ 2.8, 22 มม., 1/125 วินาที,…